24 มกราคม 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้าฟังคำวินิจฉัยของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีถือหุ้น ในบริษัท ไอทีวี จำกัด มหาชน ซึ่งศาลระบุว่า การถือหุ้นเพียงหุ้นเดียว เป็นการถือหุ้นตามความหมาย ในรัฐธรรมนูญ ผู้ถือหุ้นจะมีอำนาจ บริหารหรือครอบงำกิจการ และศาลเห็นว่า ไอทีวีไม่มีคลื่นความถี่ และไม่มีรายได้จากการทำสื่อ อีกทั้งยังไม่มีแผนจะกลับมาทำสื่อ ในวันที่นายพิธา สมัครรับเลือกตั้ง สส. บริษัทไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ การถือหุ้นจึงไม่มีลักษณะต้องห้าม ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 98 (3) สถานภาพ สส. จึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ
คำสัมภาษณ์ ของนายพิธา หลังฟังคำตัดสินของศาล ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่ารู้สึกเฉย ๆ และจะเดินหน้างานเพื่อประชาชนต่อไป เริ่มด้วยภารกิจ แถลงงานประจำปีของพรรค ก้าวไกล ส่วนเรื่องที่จะกลับเข้าสภานั้น ขอเวลาหารือกับประธานสภา เพื่อกำหนดวันเดินทางกลับไปปฎิบัติหน้าที่ตามเดิม และรับปากกับประชาชนว่า หากได้กลับเข้าสภา จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ให้สมกับที่รอคอย และเน้นย้ำเรื่องคำเตือนของศาล ว่าด้วยการระมัดระวังการให้สัมภาษณ์กับสื่อมาโดยตลอด แต่ข้อมูลอาจคลาดเคลื่อนเท่านั้น และยังปฏิเสธการกลับไปเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะคณะกรรมการบริหารพรรคมีอายุ 4 ปี นั้นเอง
นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังมีรายชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และในวันที่ 31 มกราคม 2567 จะต้องเดินทางมารับฟังคำพิพากษา คดีล้มล้างการปกครอง ซึ่งนายพิธากล่าวว่า รู้สึกมั่นใจในความบริสุทธิ์ และไม่มีความกังวลใจ อีกทั้งยังใช้โอกาสนี้ในการกล่าวขอบคุณประชาชน และสมาชิกพรรคก้าวไกล ที่คอยให้กำลังใจ รวมไปถึงทีมกฎหมายของพรรค ที่ต้องทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็จะตั้งใจทำงานรับใช้ประชาชนตามเดิม โดยเตรียมแถลง Rose map ของพรรค ที่วางแผนดำเนินการตลอดทั้งปี อีกทั้งแจ้งการลงพื้นที่พบปะประชาชน และการรับแขกต่างประเทศด้วย
ทางด้านเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวชี้แจงว่า นายพิธา สามารถกลับเข้าสภาได้ทันที หลังจากสภาได้ทราบข่าวคำวินิจฉัย สมาชิกภาพ สส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยไม่จำเป็นต้องรอเอกสาร แต่เพื่อความสมบูรณ์ จะต้องรอทำตามกระบวนการธุรการ โดยการรอหนังสือจากเลขาธิการสภาอีกครั้ง ซึ่งถือว่าการอ่านคำพิพากษาในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งกระแสสังคม ที่ประชาชนและสื่อมวลชน ให้ความสนใจ พร้อมทั้งแห่ให้กำลังใจด้อมส้มอย่างล้นหลาม ซึ่งคำพิพากษาอาจจะไม่ถูกใจทุกฝ่าย ก็ขอให้เคารพการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย และคอยเป็นกำลังใจ ให้บุคลากรที่ทำงานเพื่อประชาชนคนไทยต่อไป
