
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2567 ญาติของป้าบัวผัน หรือป้ากบ ได้นำร่างมาฌาปนกิจ ที่วัดป่าหนองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งคดีของป้าเป็นที่สนใจของประชาชนอย่างมาก เพราะถูกแก๊งส์วัยรุ่นทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ซึ่งหนึ่งในแก๊งส์วัยรุ่นเป็นลูกของนายตำรวจท่านหนึ่ง และมีการข่มขู่ให้มีแพะรับบาป ซึ่งแพะรับบาปเป็นลุงเปี๊ยก สามีของป้ากบ สุดท้ายแล้วแก๊งส์วัยรุ่นทั้งหมดถูกนำตัวส่งสถานพินิจ และถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนลุงเปี๊ยกก็ได้รับความช่วยเหลือ จากหลักฐานพบว่ามีตำรวจ 2 นาย เข้าข่ายผิดวินัย และผิดอาญา 1 นาย ที่จะต้องได้รับโทษและมีการสืบสวนต่อไป
บรรยากาศภายในงานฌาปนกิจของป้ากบ เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ โดยมีคนร่วมงานเป็นจำนวนมาก และมีคนมาร่วมงานจากหลายท้องที่ ทุกคนมาด้วยความเห็นใจและสงสารป้ากบ ที่ถูกรังแกจนเสียชีวิต ทางด้าน“ป้าปราง” พี่สาวของป้ากบ ได้กล่าวขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรมกับน้องสาวของตน และขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานทุกคน มีบุคคลสำคัญที่เดินทางมาร่วมงาน คือนายจักรพงศ์ พันธ์ุโชติ ดำรงตำแหน่งนายอำเภออรัญประเทศ และนายสรวงศ์ เทียนทอง ดำรงตำแหน่ง สส. จังหวัดสระแก้ว เขต 3 รวมไปถึงนายอำเภอวัฒนานคร และรอง ผบก.ภ. จังหวัดสระแก้วด้วย ซึ่งถือเป็นเกียรติแก่ผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ และสร้างความอบอุ่นใจให้กับญาติผู้เสียชีวิตด้วย
ก่อนที่จะเริ่มพิธีฌาปนกิจ ได้มีการแสดงโชว์คาบาเรย์ จากนักแสดงที่ชื่อ “ชีต้า” โดยชีต้าเล่าว่าป้ากบเป็นแฟนคลับของตน และชีต้าเป็นนางรำประจำศาลพระสยามเทวาธิราช ทุกครั้งที่มารำถวายที่ศาลสยามเทวาธิราช ป้ากบจะมาชมด้วยทุกครั้ง พอทราบข่าวการเสียชีวิตก็รู้สึกเสียใจ จึงอยากจะมารำให้ป้ากบดูเป็นครั้งสุดท้าย จึงตัดสินใจเดินทางมารำหน้าเมรุ ในวันที่ส่งประกบขึ้นสู่สรวงสวรรค์ และในสื่อสังคมโซเชียล ก็ยังคงมีการเผยแพร่ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอของป้ากบในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่น่ารัก ถือเป็นช่วงเวลาดี ๆ ของป้าที่มีต่อคนในท้องที่อรัญประเทศ
สำหรับประเด็นที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน นั่นก็คือการเสนอให้ยกเลิกหรือปรับแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเยาวชน ที่กระทำความผิดโดยเจตนา ซึ่งเสนอให้ปรับลดจำนวนอายุน้อยลง ผบ.ตร.ได้มีการนำเสนอไปที่สำนักตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยเราเคยทำไว้กับสหประชาชาติ ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยอาจจะต้องศึกษาข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบ กับประเทศญี่ปุ่น และประเทศเยอรมนีร่วมด้วย ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูล เพื่อหาข้อสรุปนำเรียนนายกรัฐมนตรี และกระทรวงยุติธรรม ให้สานต่อข้อกฎหมายนี้ต่อไป ซึ่งจะต้องได้รับการร่วมมือจากหลายหน่วยงานด้วย